บทความ

38 คำศัพท์ที่ใช้ในวงการน้ำหอม


38 คำศัพท์ที่ใช้ในวงการน้ำหอมนั้น มีทั้งคำที่คุ้นเคย และคำที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน มาดูกันว่ามีคำไหนบ้าง

  1. Accord แอคคอร์ด คือ การผสมผสานของโน้ตกลิ่นต่าง ๆ เพื่อสร้างโน้ตผสมที่มีกลิ่นเหมือนบางอย่างที่เฉพาะ โดยทั่วไปแล้วแอคคอร์ดมักถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้แทนกลิ่นที่ไม่สามารถสกัดได้จริง เช่น กลิ่นหนัง (leather notes) ที่ไม่สามารถสกัดจากหนังแท้ได้ เป็นต้น
  2. Animalic แอนิมอลิค คือ คำที่ใช้ในการอธิบายโน้ตที่มีกลิ่นชะมด (musky) เหม็น (skanky) และสกปรก (dirty) ซึ่งโดยปกติมักได้มาจากสัตว์ เช่น มัสก์ (musk) ชะมด (civet) และแอมเบอร์กริส (ambergris)
  3. Anosmia ภาวะจมูกไม่ได้กลิ่นหรือจมูกบอด คือภาวะการสูญเสียการได้กลิ่นบางอย่าง ซึ่งแง่ของน้ำหอมนั้นมักใช้คำนี้เพื่ออธิบายถึงภาวะที่ไม่ได้กลิ่นชั่วคราวเนื่องจากเกิดความคุ้นเคยกับกลิ่นดังกล่าวทำให้คุณอาจไม่ได้กลิ่นน้ำหอมของคุณเองหลังจากผ่านไประยะหนึ่ง แต่คนอื่น ๆ ยังคงได้กลิ่นอย่างชัดเจน ซึ่งภาวะนี้จะมีผลอย่างมากกับน้ำหอมที่มีโน้ตกลิ่นเพียงกลิ่นเดียว (single-note fragrances) เช่น Molecule 01 02 และ 03
  4. Aromatic กลิ่นที่ออกแนวกลิ่นสมุนไพรหรือ "สีเขียว" (เช่น lavender thyme และ rosemary)
  5. Attar หรือ ittar น้ำหอม และวัตถุดิบน้ำหอมแบบดั้งเดิมของแถบ เปอร์เซีย อินเดีย ตะวันออกกลาง ผลิตโดยการกลั่นดอกไม้ สมุนไพร หรือวัตถุดิบอื่น ๆ (เช่น ดินอบแห้ง) ด้วยไอน้ำ หรือกลั่นผ่านน้ำมันโดยไม่ต้องใช้แอลกอฮอล เช่น น้ำมันแก่นจันทน์ ส่งผลให้น้ำหอมมีความเข้มข้นและซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ตัวอย่างของน้ำหอมแอททาร์สไตล์ตะวันออกกลาง ได้แก่ Al Attar และ Xerjoff XJ Oud Attars นอกจากนี้คำว่าแอททาร์อาจหมายถึงน้ำมันหอมระเหยจากดอกไม้อื่น ๆ ได้เช่นกัน
  6. Base Notes เบสโน้ต คือ โน้ตกลิ่นที่มีมวลหนักที่สุดและติดทนนานที่สุดในน้ำหอม ซึ่งมักจะเผยกลิ่นออกมาหลังจากที่โน้ตกลิ่นหลัก (middle notes) ระเหยไปแล้วนั่นคือในช่วงกลาง-ท้ายของน้ำหอม ทำให้กลิ่นมีมิติ มีความลึก และติดทน นอกจากนี้เบสโน้ตจะแสดงลักษณะเฉพาะตัวในช่วงที่ dry down โดยเบสโน้ตทั่วไปที่นิยมใช้กัน ได้แก่ กลิ่นไม้ (woods) มอส (moss) อำพัน (amber) และมัสก์
  7. Balsams คือ เรซิ่น (resins) ที่อุดมไปด้วยน้ำมันและมักจะมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ บางครั้งอาจมีรสหวานเล็กน้อย เช่น Peru balsam benzoin และ tolu balsam โดยมากมักใช้เป็นเบสโน้ตอีกด้วย
  8. Chypre จัดเป็นตระกูลหรือประเภทของน้ำหอมที่โดดเด่นด้วยกลิ่นมอส กลิ่นไม้ กลิ่นซิตรัส และกลิ่นแอนิมอลิค ซึ่งเดิมทีโน้ตเหล่านั้นจะใช้ในการอธิบายถึงกลิ่นของเกาะไซปรัส (Cyprus หรือ Chypre ในภาษาฝรั่งเศส) และได้รับแรงบันดาลใจมาจากน้ำหอม 1917 Francois Coty ซึ่งมีชื่อเดียวกันอีกด้วย *เนื่องจากโอ๊คมอส (oakmoss) ได้รับการควบคุมอย่างเข้มงวดในการปรุงน้ำหอมสมัยใหม่จึงทำให้น้ำหอม chypre คลาสสิกจำนวนมากต้องทำการปรับรูปแบบใหม่จึงทำให้ขาดลักษณะของกลิ่นมอสแบบดั้งเดิม
  9. ด้วยเหตุนี้จึงอาจทำให้การจัดหมวดหมู่เกิดความสับสนได้ง่ายรวมไปถึงอาจมีการปรับการกำหนดประเภทน้ำหอมในปัจจุบันบางประเภทอีกด้วย
  10. Citrus กลิ่นโทนซิตรัสที่พบเป็นองค์ประกอบหลักในผลไม้ตระกูลส้ม ได้แก่ grapefruit lime lemon tangerine orange และ petitgrain
  11. Coffret คอฟเฟรต คือ คอลเลกชั่นหรือบ็อกเซ็ตของน้ำหอมกลิ่นต่าง ๆ ในไลน์เดียวกัน โดยมากมักเป็นขวดขนาดเล็กหรือขนาดทดลอง หรือบางครั้งอาจมีผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับการอาบน้ำมาพร้อมกัน
  12. Compound คือ สารประกอบหรืออีกเป็นชื่อหนึ่งของน้ำหอม กลิ่น รส หรือสารประกอบทางเคมี โดยทั่วไปเป็นคำศัพท์ทางเทคนิคสำหรับส่วนผสมต่าง ๆ ที่มีกลิ่นหอม
  13. Drydown ช่วงสุดท้ายของวัฏจักรน้ำหอม โดยมากมักหมายถึงกลิ่นช่วงท้ายของน้ำหอมหลังจากที่กลิ่นเปิด (top notes) และกลิ่นหลัก (middle notes) ได้จางหายไปแล้ว และเหลือไว้ซึ่งกลิ่นเบสโน้ตที่มีความติดทนนานมากที่สุด
  14. Eau de Cologne (EDC) หรือ Cologne ชนิดของน้ำหอมที่มีความเข้มข้นน้อยที่สุด โดยมีอัตราส่วนของหัวน้ำหอมต่อแอลกอฮอล์เพียง 2-5% ซึ่งแต่เดิมหมายถึงน้ำหอมที่ผลิตขึ้นในเมืองโคโลญประเทศเยอรมนีที่มีความเข้มข้นต่ำและมักจะเน้นหนักไปทางกลิ่นซิตรัสหรือกลิ่นส้ม ปัจจุบันน้ำหอมชนิดนี้มีความนิยมในการใช้งานมากขึ้น แต่ด้วยความเบาบางของกลิ่นทำให้โดยทั่วไปแล้ว EDC มักบรรจุมาในขวดขนาดใหญ่เพื่อให้สามารถฉีดเติมได้ตลอดทั้งวัน
  15. Eau de Parfum (EDP) น้ำหอมที่มีอัตราส่วนของหัวน้ำหอมเข้มข้นต่อแอลกอฮอล์ประมาณ 10-20%
  16. Eau de Toilette (EDT) น้ำหอมที่มีอัตราส่วนของหัวน้ำหอมเข้มข้นต่อแอลกอฮอล์ประมาณ 5-10%
  17. Extrait/extract หรือ Parfum น้ำหอมที่มีอัตราส่วนของหัวน้ำหอมเข้มข้นต่อแอลกอฮอล์ประมาณ 20-45%โดยทั่วไปแล้ว Extraits ถือว่าเป็นน้ำหอมที่มีความเข้มข้นมากที่สุดที่มีจำหน่ายในท้องตลาด
  18. Factice ขวดน้ำหอมจำลองที่ไม่มีน้ำหอมจริงอยู่ในขวด ใช้สำหรับการจัดโชว์ดิสเพลย์เพื่อโฆษณาสินค้าตามหน้าร้าน
  19. Flanker การเปิดตัวน้ำหอมที่เกี่ยวข้องกับน้ำหอมที่เป็นที่นิยมหรือมีอยู่ก่อนแล้ว โดย Flanker มักจะมีกลิ่นที่คล้ายกับน้ำหอมกลิ่นแรก แต่มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญหนึ่งหรือสองอย่าง พบได้ทั่วไปในน้ำหอมกระแสหลัก เช่น Chanel Coco & Coco Madamoiselle หรือ Thierry Mugler A * Men and A * Men Pure Malt โดยทั่วไปแล้วน้ำหอม EDP ของกลิ่นที่มีเป็น EDT อยู่แล้ว เช่น Parfums de Nicolai's New York & New York Intense จะไม่ถือว่าเป็น Flanker
  20. Floral กลิ่นที่สามารถอ้างถึงกลิ่นหอมที่ให้ความรู้สึกเหมือนดอกไม้หรือส่วนประกอบของดอกไม้ชนิดหนึ่งได้ เช่น กุหลาบ มะลิ ไอริส หรือกระดังงา ซึ่งเป็นกลิ่นที่นิยมใช้เป็นอย่างมากในการปรุงน้ำหอม
  21. Fougère รูปแบบของน้ำหอมชนิดหนึ่ง โดยชื่อ Fougère นั้นหมายถึงเฟิร์นในภาษาฝรั่งเศส ซึ่ง Fougères นั้นมักเป็นกลิ่นสมุนไพร ผสมผสานกับกลิ่นลาเวนเดอร์ โอ๊คมอส และกลิ่นไม้ ทั้งนี้ Fougère มีที่มาของชื่อมาจาก Houbigant's Fougère Royale ซึ่งสร้างขึ้นในปลายปี ค.ศ.1800
  22. Fragrance Families การจัดจำแนกประเภทของกลิ่นหอม ปัจจุบัน ได้มีการจัดจำแนกกลิ่นหอมออกเป็น 7 หมวดหมู่ด้วยกัน โดยอ้างอิงจากระบบของ SociTtT Frantaise des Parfumeurs ได้แก่ citrus floral fougere chypre woody amber และ leather แต่ในทางกลับกัน Michael Edwards ได้ใช้ระบบวงล้อ (wheel) เพื่อจำแนกกลิ่นหอมออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ fresh floral oriental และ woody ซึ่งในแต่ละระบบก็จะมีหมวดหมู่แยกย่อยลงไปอีกหลายประเภทที่มีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น หรือบางครั้งอาจมีการใช้ทั้ง 2 ระบบร่วมกัน เนื่องจากยังไม่มีระบบสากลที่เป็นมาตรฐานแน่นอนจึงเป็นเรื่องปกติที่จะเห็นน้ำหอมกลิ่นเดียวจัดอยู่ในประเภทที่ขัดแย้งกัน (หรือไม่ขัดแย้งกัน) ดังนั้นการจัดจำแนกประเภทกลิ่นหอมดังกล่าวจึงเป็นเพียงแนวทางเบื้องต้นเท่านั้น
  23. Fruity น้ตกลิ่นของผลไม้ซึ่งมักนิยมใช้ผสมผสานกับกลิ่นดอกไม้มากกว่าที่จะใช้เดี่ยว ๆ ได้แก่ พลัม แบล็กเบอร์รี่ พีช แอปเปิ้ล เชอร์รี่ หรือสตรอเบอร์รี่
  24. Gourmand fragrance น้ำหอมประเภทหนึ่งที่มีกลิ่นในแนวกลิ่นอาหารโดยเฉพาะอย่างยิ่งของหวาน ได้แก่ โน้ตกลิ่นวานิลลา ช็อกโกแลต ผลไม้ คาราเมล และอื่น ๆ โดยน้ำหอมแนว gourmand ที่โดดเด่นที่สุด ได้แก่ Viktoria Minya Hedonist และ Indult Tihota
  25. Heart Notes โน้ตหัวใจหรือโน้ตกลิ่นหลักของน้ำหอมนั้น ๆ บางครั้งอาจเรียกว่า middle notes ซึ่งเป็นโน้ตหลักที่กำหนดกลิ่น การอธิบาย และการจัดหมวดหมู่ของกลิ่น โดยทั่วไปแล้วโน้ตหัวใจจะแสดงกลิ่นในช่วง 10 ถึง 20 นาทีแรกของน้ำหอมหลังจากที่กลิ่นเปิด (top notes) จางลง และทำให้กลิ่นมีความชัดเจนหนักแน่นมากขึ้น โน้ตหัวใจที่เป็นที่นิยม ได้แก่ กลิ่นดอกไม้ (Florals) เครื่องเทศ (Spices) และพืช (botanicals)
  26. Leather ประเภทของกลิ่นหอมที่มีกลิ่นควัน ซึ่งทำให้นึกถึงชุดหรืออุปกรณ์เครื่องหนังแบบดั้งเดิม (กลิ่นหนังส่วนใหญ่มาจากส่วนประกอบต่าง ๆ เช่น birch)
  27. Musk สารชนิดหนึ่งที่ได้จากต่อมของกวางมัสก์ (musk deer) แต่ต่อมาถือเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ปัจจุบันมัสก์สังเคราะห์สมัยใหม่สามารถให้กลิ่นที่สะอาด หรือให้กลิ่นหอมอ่อน ๆ ให้กับน้ำหอมได้เช่นกัน
  28. Natural คำที่ใช้พูดถึงส่วนผสมของน้ำหอมที่มาจากแหล่งธรรมชาติ ไม่ใช่สารสังเคราะห์
  29. Nose / Perfumer A nose คือ คนที่มีหน้าที่ในการสร้างสูตรของน้ำหอม ซึ่งจะต้องผ่านการฝึกฝนและมีความเชี่ยวชาญในการผสมผสานส่วนผสมต่าง ๆ อย่างแม่นยำ โดยมากมักเป็นผู้ที่มีวุฒิการศึกษาขั้นสูงทางเคมีซึ่งจำเป็นสำหรับการเข้าเรียนในโรงเรียนสอนทำน้ำหอมชั้นนำของโลกหลายแห่ง
  30. Note องค์ประกอบเดี่ยวของน้ำหอมซึ่งเป็นเหมือนกับระดับโครงสร้างของกลิ่น
  31. Oriental ประเภทของน้ำหอมแบบดั้งเดิมทางตะวันออก มักมีสีเหลืองอำพัน แต่ในปัจจุบันคำนี้ถูกนำมาใช้โดยทั่วไปในการเรียกน้ำหอมที่มีเนื้อกลิ่นหนัก ติดทน และอบอุ่น มักมีส่วนผสมอื่น ๆ เช่น มัสก์ วานิลลา และเรซิ่น
  32. Projection การกระจายตัวของกลิ่น หรือระยะห่างที่เราสามารถได้กลิ่นน้ำหอมจากผู้ที่ฉีดน้ำหอม ส่วนมากมักประเมินว่ากลิ่นสามารถกระจายตัวออกจากบริเวณผิวหนังที่ฉีดน้ำหอมได้กี่นิ้ว
  33. Sillage คือ คำศัพท์ภาษาฝรั่งเศสที่อธิบายถึงร่องรอยของกลิ่นที่หลงเหลืออยู่หลังจากที่ผู้ฉีดน้ำหอมเดินออกไปแล้ว ซึ่งมีความแตกต่างเพียงเล็กน้อยจากคำว่า projection โดย sillage จะบอกถึงระยะเวลาที่กลิ่นจะยังคงอยู่ในอากาศหลังจากที่ผู้ฉีดน้ำหอมออกจากห้องไปแล้ว
  34. Skin Scent กลิ่นที่มีการกระจายตัวน้อย (เช่น กลิ่นที่สามารถรับรู้ได้เฉพาะเวลาที่อยู่ใกล้ตัวผู้ฉีดน้ำหอมมาก ๆ เท่านั้น) โดย skin scent ส่วนมากมักมีลักษณะกลิ่นที่ใกล้เคียงกัน (นุ่ม บางเบา หอม กลิ่นมัสก์) เนื่องจากส่วนผสมหลายชนิดมีแนวโน้มที่จะให้กลิ่นที่มีการกระจายตัวน้อย
  35. Soliflore เป็นน้ำหอมที่เน้นกลิ่นของดอกไม้ชนิดใดชนิดหนึ่ง (แม้ว่าจริง ๆ แล้ว ส่วนผสมอาจมีมากกว่าหนึ่งชนิด) น้ำหอมนิชประเภท Soliflore ที่โดดเด่น ได้แก่ By Kilian Love and Tears (ดอกมะลิ), Ramon Monegal Impossible Iris หรือ Van Cleef & Arpels Gardenia Petale
  36. Solvent Extraction วิธีการที่นิยมใช้กันมากที่สุดในการสกัดกลิ่นหอมจากวัตถุดิบธรรมชาติ ขั้นตอนการสกัดกลิ่นด้วยตัวทำละลายประกอบด้วย การแช่หรือหมักวัตถุดิบในตัวทำละลายเคมี (เช่น hexane) จากนั้นแยกสารหอมที่สกัดได้ออกจากตัวทำละลายด้วยระบบสุญญากาศ จะได้สารหอมที่เป็นของแข็ง (concrete) ซึ่งสามารถละลายและกลั่นอีกครั้งได้ด้วยแอลกอฮอล์เพื่อให้ได้สารที่เป็น absolute
  37. Synthetic กลิ่นหรือสารสังเคราะห์ ใช้สำหรับเรียกส่วนผสมของน้ำหอมที่เกิดจากการสังเคราะห์ทางเคมีซึ่งต่างจากการสกัดจากวัตถุดิบธรรมชาติ ปัจจุบันโน้ตหลายชนิดในน้ำหอมมีการสร้างด้วยการใช้กลิ่นสังเคราะห์บางอย่าง เช่น ambroxan ซึ่งเป็นรูปแบบสารสังเคราะห์ของ ambergris ได้ถูกคิดค้นขึ้นเพื่อทดแทนส่วนผสมจากธรรมชาติที่มีราคาแพงเกินไปหรือเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมในกระบวนการเก็บและการกลั่น ตัวอย่างอื่น ๆ เช่น Calone (ที่มีความโดดเด่นอย่างมากใน Parfums de Nicolai Musc Monoi และเทียนหอม Calone 17 ของ Le Labo เป็นต้น) ซึ่งใช้เพื่อให้กลิ่นที่สดชื่น ozonic และกลิ่นน้ำที่มีความเค็ม ที่ไม่มีในธรรมชาติ
  38. Top Notes โน้ตแรกที่ได้กลิ่นหลังจากฉีดน้ำหอม โดยมักจะเป็นสารที่มีโมเลกุลเบากว่ากลิ่นอื่น ๆ จึงทำให้กลิ่น top notes หายไปก่อนเป็นลำดับแรกเมื่อโมเลกุลเหล่านั้นระเหยออกไป และเผยให้เห็นโน้ตกลิ่นหลัก (Heart Notes) ทั้งนี้ top notes ที่นิยมใช้กัน คือ กลิ่นในกลุ่มซิตรัส
  39. Undertones คำนี้ไม่ค่อยเป็นที่นิยมใช้ แต่จากข้อมูลของ bellairecreations.com พบว่า undertones คือ รายละเอียดเชิงลึกของกลิ่นหอมที่สามารถสร้างความแตกต่างและเอกลักษณ์สำคัญของน้ำหอมนั้น ๆ ได้