38 คำศัพท์ที่ใช้ในวงการน้ำหอม
38 คำศัพท์ที่ใช้ในวงการน้ำหอมนั้น มีทั้งคำที่คุ้นเคย และคำที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน มาดูกันว่ามีคำไหนบ้าง
- Accord แอคคอร์ด คือ การผสมผสานของโน้ตกลิ่นต่าง ๆ เพื่อสร้างโน้ตผสมที่มีกลิ่นเหมือนบางอย่างที่เฉพาะ โดยทั่วไปแล้วแอคคอร์ดมักถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้แทนกลิ่นที่ไม่สามารถสกัดได้จริง เช่น กลิ่นหนัง (leather notes) ที่ไม่สามารถสกัดจากหนังแท้ได้ เป็นต้น
- Animalic แอนิมอลิค คือ คำที่ใช้ในการอธิบายโน้ตที่มีกลิ่นชะมด (musky) เหม็น (skanky) และสกปรก (dirty) ซึ่งโดยปกติมักได้มาจากสัตว์ เช่น มัสก์ (musk) ชะมด (civet) และแอมเบอร์กริส (ambergris)
- Anosmia ภาวะจมูกไม่ได้กลิ่นหรือจมูกบอด คือภาวะการสูญเสียการได้กลิ่นบางอย่าง ซึ่งแง่ของน้ำหอมนั้นมักใช้คำนี้เพื่ออธิบายถึงภาวะที่ไม่ได้กลิ่นชั่วคราวเนื่องจากเกิดความคุ้นเคยกับกลิ่นดังกล่าวทำให้คุณอาจไม่ได้กลิ่นน้ำหอมของคุณเองหลังจากผ่านไประยะหนึ่ง แต่คนอื่น ๆ ยังคงได้กลิ่นอย่างชัดเจน ซึ่งภาวะนี้จะมีผลอย่างมากกับน้ำหอมที่มีโน้ตกลิ่นเพียงกลิ่นเดียว (single-note fragrances) เช่น Molecule 01 02 และ 03
- Aromatic กลิ่นที่ออกแนวกลิ่นสมุนไพรหรือ "สีเขียว" (เช่น lavender thyme และ rosemary)
- Attar หรือ ittar น้ำหอม และวัตถุดิบน้ำหอมแบบดั้งเดิมของแถบ เปอร์เซีย อินเดีย ตะวันออกกลาง ผลิตโดยการกลั่นดอกไม้ สมุนไพร หรือวัตถุดิบอื่น ๆ (เช่น ดินอบแห้ง) ด้วยไอน้ำ หรือกลั่นผ่านน้ำมันโดยไม่ต้องใช้แอลกอฮอล เช่น น้ำมันแก่นจันทน์ ส่งผลให้น้ำหอมมีความเข้มข้นและซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ตัวอย่างของน้ำหอมแอททาร์สไตล์ตะวันออกกลาง ได้แก่ Al Attar และ Xerjoff XJ Oud Attars นอกจากนี้คำว่าแอททาร์อาจหมายถึงน้ำมันหอมระเหยจากดอกไม้อื่น ๆ ได้เช่นกัน
- Base Notes เบสโน้ต คือ โน้ตกลิ่นที่มีมวลหนักที่สุดและติดทนนานที่สุดในน้ำหอม ซึ่งมักจะเผยกลิ่นออกมาหลังจากที่โน้ตกลิ่นหลัก (middle notes) ระเหยไปแล้วนั่นคือในช่วงกลาง-ท้ายของน้ำหอม ทำให้กลิ่นมีมิติ มีความลึก และติดทน นอกจากนี้เบสโน้ตจะแสดงลักษณะเฉพาะตัวในช่วงที่ dry down โดยเบสโน้ตทั่วไปที่นิยมใช้กัน ได้แก่ กลิ่นไม้ (woods) มอส (moss) อำพัน (amber) และมัสก์
- Balsams คือ เรซิ่น (resins) ที่อุดมไปด้วยน้ำมันและมักจะมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ บางครั้งอาจมีรสหวานเล็กน้อย เช่น Peru balsam benzoin และ tolu balsam โดยมากมักใช้เป็นเบสโน้ตอีกด้วย
- Chypre จัดเป็นตระกูลหรือประเภทของน้ำหอมที่โดดเด่นด้วยกลิ่นมอส กลิ่นไม้ กลิ่นซิตรัส และกลิ่นแอนิมอลิค ซึ่งเดิมทีโน้ตเหล่านั้นจะใช้ในการอธิบายถึงกลิ่นของเกาะไซปรัส (Cyprus หรือ Chypre ในภาษาฝรั่งเศส) และได้รับแรงบันดาลใจมาจากน้ำหอม 1917 Francois Coty ซึ่งมีชื่อเดียวกันอีกด้วย *เนื่องจากโอ๊คมอส (oakmoss) ได้รับการควบคุมอย่างเข้มงวดในการปรุงน้ำหอมสมัยใหม่จึงทำให้น้ำหอม chypre คลาสสิกจำนวนมากต้องทำการปรับรูปแบบใหม่จึงทำให้ขาดลักษณะของกลิ่นมอสแบบดั้งเดิม
ด้วยเหตุนี้จึงอาจทำให้การจัดหมวดหมู่เกิดความสับสนได้ง่ายรวมไปถึงอาจมีการปรับการกำหนดประเภทน้ำหอมในปัจจุบันบางประเภทอีกด้วย
- Citrus กลิ่นโทนซิตรัสที่พบเป็นองค์ประกอบหลักในผลไม้ตระกูลส้ม ได้แก่ grapefruit lime lemon tangerine orange และ petitgrain
- Coffret คอฟเฟรต คือ คอลเลกชั่นหรือบ็อกเซ็ตของน้ำหอมกลิ่นต่าง ๆ ในไลน์เดียวกัน โดยมากมักเป็นขวดขนาดเล็กหรือขนาดทดลอง หรือบางครั้งอาจมีผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับการอาบน้ำมาพร้อมกัน
- Compound คือ สารประกอบหรืออีกเป็นชื่อหนึ่งของน้ำหอม กลิ่น รส หรือสารประกอบทางเคมี โดยทั่วไปเป็นคำศัพท์ทางเทคนิคสำหรับส่วนผสมต่าง ๆ ที่มีกลิ่นหอม
- Drydown ช่วงสุดท้ายของวัฏจักรน้ำหอม โดยมากมักหมายถึงกลิ่นช่วงท้ายของน้ำหอมหลังจากที่กลิ่นเปิด (top notes) และกลิ่นหลัก (middle notes) ได้จางหายไปแล้ว และเหลือไว้ซึ่งกลิ่นเบสโน้ตที่มีความติดทนนานมากที่สุด
- Eau de Cologne (EDC) หรือ Cologne ชนิดของน้ำหอมที่มีความเข้มข้นน้อยที่สุด โดยมีอัตราส่วนของหัวน้ำหอมต่อแอลกอฮอล์เพียง 2-5% ซึ่งแต่เดิมหมายถึงน้ำหอมที่ผลิตขึ้นในเมืองโคโลญประเทศเยอรมนีที่มีความเข้มข้นต่ำและมักจะเน้นหนักไปทางกลิ่นซิตรัสหรือกลิ่นส้ม ปัจจุบันน้ำหอมชนิดนี้มีความนิยมในการใช้งานมากขึ้น แต่ด้วยความเบาบางของกลิ่นทำให้โดยทั่วไปแล้ว EDC มักบรรจุมาในขวดขนาดใหญ่เพื่อให้สามารถฉีดเติมได้ตลอดทั้งวัน
- Eau de Parfum (EDP) น้ำหอมที่มีอัตราส่วนของหัวน้ำหอมเข้มข้นต่อแอลกอฮอล์ประมาณ 10-20%
- Eau de Toilette (EDT) น้ำหอมที่มีอัตราส่วนของหัวน้ำหอมเข้มข้นต่อแอลกอฮอล์ประมาณ 5-10%
- Extrait/extract หรือ Parfum น้ำหอมที่มีอัตราส่วนของหัวน้ำหอมเข้มข้นต่อแอลกอฮอล์ประมาณ 20-45%โดยทั่วไปแล้ว Extraits ถือว่าเป็นน้ำหอมที่มีความเข้มข้นมากที่สุดที่มีจำหน่ายในท้องตลาด
- Factice ขวดน้ำหอมจำลองที่ไม่มีน้ำหอมจริงอยู่ในขวด ใช้สำหรับการจัดโชว์ดิสเพลย์เพื่อโฆษณาสินค้าตามหน้าร้าน
- Flanker การเปิดตัวน้ำหอมที่เกี่ยวข้องกับน้ำหอมที่เป็นที่นิยมหรือมีอยู่ก่อนแล้ว โดย Flanker มักจะมีกลิ่นที่คล้ายกับน้ำหอมกลิ่นแรก แต่มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญหนึ่งหรือสองอย่าง พบได้ทั่วไปในน้ำหอมกระแสหลัก เช่น Chanel Coco & Coco Madamoiselle หรือ Thierry Mugler A * Men and A * Men Pure Malt โดยทั่วไปแล้วน้ำหอม EDP ของกลิ่นที่มีเป็น EDT อยู่แล้ว เช่น Parfums de Nicolai's New York & New York Intense จะไม่ถือว่าเป็น Flanker
- Floral กลิ่นที่สามารถอ้างถึงกลิ่นหอมที่ให้ความรู้สึกเหมือนดอกไม้หรือส่วนประกอบของดอกไม้ชนิดหนึ่งได้ เช่น กุหลาบ มะลิ ไอริส หรือกระดังงา ซึ่งเป็นกลิ่นที่นิยมใช้เป็นอย่างมากในการปรุงน้ำหอม
- Fougère รูปแบบของน้ำหอมชนิดหนึ่ง โดยชื่อ Fougère นั้นหมายถึงเฟิร์นในภาษาฝรั่งเศส ซึ่ง Fougères นั้นมักเป็นกลิ่นสมุนไพร ผสมผสานกับกลิ่นลาเวนเดอร์ โอ๊คมอส และกลิ่นไม้ ทั้งนี้ Fougère มีที่มาของชื่อมาจาก Houbigant's Fougère Royale ซึ่งสร้างขึ้นในปลายปี ค.ศ.1800
- Fragrance Families การจัดจำแนกประเภทของกลิ่นหอม ปัจจุบัน ได้มีการจัดจำแนกกลิ่นหอมออกเป็น 7 หมวดหมู่ด้วยกัน โดยอ้างอิงจากระบบของ SociTtT Frantaise des Parfumeurs ได้แก่ citrus floral fougere chypre woody amber และ leather แต่ในทางกลับกัน Michael Edwards ได้ใช้ระบบวงล้อ (wheel) เพื่อจำแนกกลิ่นหอมออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ fresh floral oriental และ woody ซึ่งในแต่ละระบบก็จะมีหมวดหมู่แยกย่อยลงไปอีกหลายประเภทที่มีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น หรือบางครั้งอาจมีการใช้ทั้ง 2 ระบบร่วมกัน เนื่องจากยังไม่มีระบบสากลที่เป็นมาตรฐานแน่นอนจึงเป็นเรื่องปกติที่จะเห็นน้ำหอมกลิ่นเดียวจัดอยู่ในประเภทที่ขัดแย้งกัน (หรือไม่ขัดแย้งกัน) ดังนั้นการจัดจำแนกประเภทกลิ่นหอมดังกล่าวจึงเป็นเพียงแนวทางเบื้องต้นเท่านั้น
- Fruity น้ตกลิ่นของผลไม้ซึ่งมักนิยมใช้ผสมผสานกับกลิ่นดอกไม้มากกว่าที่จะใช้เดี่ยว ๆ ได้แก่ พลัม แบล็กเบอร์รี่ พีช แอปเปิ้ล เชอร์รี่ หรือสตรอเบอร์รี่
- Gourmand fragrance น้ำหอมประเภทหนึ่งที่มีกลิ่นในแนวกลิ่นอาหารโดยเฉพาะอย่างยิ่งของหวาน ได้แก่ โน้ตกลิ่นวานิลลา ช็อกโกแลต ผลไม้ คาราเมล และอื่น ๆ โดยน้ำหอมแนว gourmand ที่โดดเด่นที่สุด ได้แก่ Viktoria Minya Hedonist และ Indult Tihota
- Heart Notes โน้ตหัวใจหรือโน้ตกลิ่นหลักของน้ำหอมนั้น ๆ บางครั้งอาจเรียกว่า middle notes ซึ่งเป็นโน้ตหลักที่กำหนดกลิ่น การอธิบาย และการจัดหมวดหมู่ของกลิ่น โดยทั่วไปแล้วโน้ตหัวใจจะแสดงกลิ่นในช่วง 10 ถึง 20 นาทีแรกของน้ำหอมหลังจากที่กลิ่นเปิด (top notes) จางลง และทำให้กลิ่นมีความชัดเจนหนักแน่นมากขึ้น โน้ตหัวใจที่เป็นที่นิยม ได้แก่ กลิ่นดอกไม้ (Florals) เครื่องเทศ (Spices) และพืช (botanicals)
- Leather ประเภทของกลิ่นหอมที่มีกลิ่นควัน ซึ่งทำให้นึกถึงชุดหรืออุปกรณ์เครื่องหนังแบบดั้งเดิม (กลิ่นหนังส่วนใหญ่มาจากส่วนประกอบต่าง ๆ เช่น birch)
- Musk สารชนิดหนึ่งที่ได้จากต่อมของกวางมัสก์ (musk deer) แต่ต่อมาถือเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ปัจจุบันมัสก์สังเคราะห์สมัยใหม่สามารถให้กลิ่นที่สะอาด หรือให้กลิ่นหอมอ่อน ๆ ให้กับน้ำหอมได้เช่นกัน
- Natural คำที่ใช้พูดถึงส่วนผสมของน้ำหอมที่มาจากแหล่งธรรมชาติ ไม่ใช่สารสังเคราะห์
- Nose / Perfumer A nose คือ คนที่มีหน้าที่ในการสร้างสูตรของน้ำหอม ซึ่งจะต้องผ่านการฝึกฝนและมีความเชี่ยวชาญในการผสมผสานส่วนผสมต่าง ๆ อย่างแม่นยำ โดยมากมักเป็นผู้ที่มีวุฒิการศึกษาขั้นสูงทางเคมีซึ่งจำเป็นสำหรับการเข้าเรียนในโรงเรียนสอนทำน้ำหอมชั้นนำของโลกหลายแห่ง
- Note องค์ประกอบเดี่ยวของน้ำหอมซึ่งเป็นเหมือนกับระดับโครงสร้างของกลิ่น
- Oriental ประเภทของน้ำหอมแบบดั้งเดิมทางตะวันออก มักมีสีเหลืองอำพัน แต่ในปัจจุบันคำนี้ถูกนำมาใช้โดยทั่วไปในการเรียกน้ำหอมที่มีเนื้อกลิ่นหนัก ติดทน และอบอุ่น มักมีส่วนผสมอื่น ๆ เช่น มัสก์ วานิลลา และเรซิ่น
- Projection การกระจายตัวของกลิ่น หรือระยะห่างที่เราสามารถได้กลิ่นน้ำหอมจากผู้ที่ฉีดน้ำหอม ส่วนมากมักประเมินว่ากลิ่นสามารถกระจายตัวออกจากบริเวณผิวหนังที่ฉีดน้ำหอมได้กี่นิ้ว
- Sillage คือ คำศัพท์ภาษาฝรั่งเศสที่อธิบายถึงร่องรอยของกลิ่นที่หลงเหลืออยู่หลังจากที่ผู้ฉีดน้ำหอมเดินออกไปแล้ว ซึ่งมีความแตกต่างเพียงเล็กน้อยจากคำว่า projection โดย sillage จะบอกถึงระยะเวลาที่กลิ่นจะยังคงอยู่ในอากาศหลังจากที่ผู้ฉีดน้ำหอมออกจากห้องไปแล้ว
- Skin Scent กลิ่นที่มีการกระจายตัวน้อย (เช่น กลิ่นที่สามารถรับรู้ได้เฉพาะเวลาที่อยู่ใกล้ตัวผู้ฉีดน้ำหอมมาก ๆ เท่านั้น) โดย skin scent ส่วนมากมักมีลักษณะกลิ่นที่ใกล้เคียงกัน (นุ่ม บางเบา หอม กลิ่นมัสก์) เนื่องจากส่วนผสมหลายชนิดมีแนวโน้มที่จะให้กลิ่นที่มีการกระจายตัวน้อย
- Soliflore เป็นน้ำหอมที่เน้นกลิ่นของดอกไม้ชนิดใดชนิดหนึ่ง (แม้ว่าจริง ๆ แล้ว ส่วนผสมอาจมีมากกว่าหนึ่งชนิด) น้ำหอมนิชประเภท Soliflore ที่โดดเด่น ได้แก่ By Kilian Love and Tears (ดอกมะลิ), Ramon Monegal Impossible Iris หรือ Van Cleef & Arpels Gardenia Petale
- Solvent Extraction วิธีการที่นิยมใช้กันมากที่สุดในการสกัดกลิ่นหอมจากวัตถุดิบธรรมชาติ ขั้นตอนการสกัดกลิ่นด้วยตัวทำละลายประกอบด้วย การแช่หรือหมักวัตถุดิบในตัวทำละลายเคมี (เช่น hexane) จากนั้นแยกสารหอมที่สกัดได้ออกจากตัวทำละลายด้วยระบบสุญญากาศ จะได้สารหอมที่เป็นของแข็ง (concrete) ซึ่งสามารถละลายและกลั่นอีกครั้งได้ด้วยแอลกอฮอล์เพื่อให้ได้สารที่เป็น absolute
- Synthetic กลิ่นหรือสารสังเคราะห์ ใช้สำหรับเรียกส่วนผสมของน้ำหอมที่เกิดจากการสังเคราะห์ทางเคมีซึ่งต่างจากการสกัดจากวัตถุดิบธรรมชาติ ปัจจุบันโน้ตหลายชนิดในน้ำหอมมีการสร้างด้วยการใช้กลิ่นสังเคราะห์บางอย่าง เช่น ambroxan ซึ่งเป็นรูปแบบสารสังเคราะห์ของ ambergris ได้ถูกคิดค้นขึ้นเพื่อทดแทนส่วนผสมจากธรรมชาติที่มีราคาแพงเกินไปหรือเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมในกระบวนการเก็บและการกลั่น ตัวอย่างอื่น ๆ เช่น Calone (ที่มีความโดดเด่นอย่างมากใน Parfums de Nicolai Musc Monoi และเทียนหอม Calone 17 ของ Le Labo เป็นต้น) ซึ่งใช้เพื่อให้กลิ่นที่สดชื่น ozonic และกลิ่นน้ำที่มีความเค็ม ที่ไม่มีในธรรมชาติ
- Top Notes โน้ตแรกที่ได้กลิ่นหลังจากฉีดน้ำหอม โดยมักจะเป็นสารที่มีโมเลกุลเบากว่ากลิ่นอื่น ๆ จึงทำให้กลิ่น top notes หายไปก่อนเป็นลำดับแรกเมื่อโมเลกุลเหล่านั้นระเหยออกไป และเผยให้เห็นโน้ตกลิ่นหลัก (Heart Notes) ทั้งนี้ top notes ที่นิยมใช้กัน คือ กลิ่นในกลุ่มซิตรัส
- Undertones คำนี้ไม่ค่อยเป็นที่นิยมใช้ แต่จากข้อมูลของ bellairecreations.com พบว่า undertones คือ รายละเอียดเชิงลึกของกลิ่นหอมที่สามารถสร้างความแตกต่างและเอกลักษณ์สำคัญของน้ำหอมนั้น ๆ ได้